สุดยอดคู่มือเรื่องกระเป๋าเดินทาง ขนาดกระเป๋า และสายการบิน

เมื่ออ่านบทความนี้ ผู้อ่านจะเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับประเภทต่าง ๆ ของกระเป๋าเดินทางที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ขนาด และสิ่งที่สายการบินในประเทศไทยอนุญาตให้นำขึ้นเครื่องได้ พวกเขายังจะได้เรียนรู้ข้อดีข้อเสียของกระเป๋าเดินทางแต่ละประเภทและประโยชน์ของการเลือกที่เชื่อถือได้

เมื่อวางแผนการเดินทาง การเลือกกระเป๋าเดินทางที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ มันสามารถสร้างความแตกต่างระหว่างประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายและไม่ยุ่งยากหรือน่าผิดหวัง ตั้งแต่กระเป๋าถือขึ้นเครื่องจนถึงกระเป๋าลาก กระเป๋าเดินทางใช้สำหรับการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยพบได้ในหลายขนาดตั้งแต่ 20 นิ้วถึง 30 นิ้ว ซึ่งขนาดของกระเป๋าเดินทางจะขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล และสามารถเลือกได้ตามความสะดวกสบายในการใช้งาน เรามาพูดถึงข้อดีและข้อเสียของกระเป๋าเดินทางในขนาดต่าง ๆ ดังนี้

ขนาดของกระเป๋าเดินทาง 20 นิ้ว ถึง 30 นิ้ว

ขนาดของกระเป๋าเดินทางที่คนไทยใช้นั้นแตกต่างกันไปตามความต้องการในการเดินทาง สำหรับการเดินทางระยะสั้นหรือเที่ยวบินภายในประเทศ คนไทยอาจใช้กระเป๋าเดินทางใบเล็กหรือเป้ สำหรับการเดินทางระยะยาวหรือการเดินทางระหว่างประเทศ พวกเขาอาจใช้กระเป๋าเดินทางใบใหญ่หรือกระเป๋าเดินทางหลายใบ ขนาดทั่วไปของกระเป๋าเดินทางที่คนไทยใช้ ได้แก่ กระเป๋าเดินทางขนาด 20-24 นิ้ว สำหรับการเดินทางระยะสั้น และ กระเป๋าเดินทางขนาด 28-30 นิ้ว สำหรับการเดินทางระยะยาว อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าขนาดของกระเป๋าเดินทางที่คนไทยใช้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลและความต้องการในการเดินทาง

กระเป๋าเดินทาง 20 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้วเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับนักเดินทางที่ต้องการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมสัมภาระใต้ท้องเครื่องและค่าไฟในการเดินทาง สายการบินส่วนใหญ่ในประเทศไทย รวมถึงการบินไทยและแอร์เอเชีย อนุญาตให้ผู้โดยสารนำกระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้วขึ้นเครื่องเป็นกระเป๋าถือขึ้นเครื่องได้ ขนาดนี้ยังสะดวกสำหรับการนำทางในสนามบินที่มีผู้คนพลุกพล่านและพอดีกับช่องเก็บของเหนือศีรษะ นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในการรอสัมภาระเช็คอินที่สายพานลำเลียงสัมภาระ

ข้อดีอย่างหนึ่งของการใช้กระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้วก็คือการพกพาและความสะดวกสบาย คุณสามารถเดินทางในสนามบินได้อย่างง่ายดายด้วยสัมภาระของคุณ และไม่ต้องเช็คอินกระเป๋า ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและเงินของคุณ

ข้อดีอีกประการหนึ่งคือการจำกัดน้ำหนัก เนื่องจากขนาดที่เล็กมักจะหมายความว่าคุณสามารถบรรจุสิ่งของได้น้อยลงและมีน้ำหนักไม่เกินน้ำหนักที่สายการบินกำหนดสำหรับกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง

โดยรวมแล้ว กระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้วอาจเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเดินทางที่กำลังมองหาโซลูชันกระเป๋าเดินทางน้ำหนักเบาและพกพาสะดวก

กระเป๋าเดินทาง 22 นิ้ว

สำหรับสายการบินส่วนใหญ่ในประเทศไทย กระเป๋าเดินทางขนาด 22 นิ้วสามารถถือขึ้นเครื่องได้ แต่ควรตรวจสอบกับสายการบินของคุณเพื่อให้แน่ใจเสมอ ขนาดนี้สะดวกสำหรับการเดินทางระยะสั้นและสามารถใส่ในช่องเก็บของเหนือศีรษะได้อย่างง่ายดาย สายการบินยอดนิยมของไทย เช่น การบินไทยและบางกอกแอร์เวย์สอนุญาตให้นำกระเป๋าขนาด 22 นิ้วขึ้นเครื่องได้ กระเป๋าเดินทางขนาด 22 นิ้วยังมีน้ำหนักเบาและง่ายต่อการพกพา ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเดินทางที่ต้องการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมสัมภาระหนัก โดยรวมแล้วกระเป๋าเดินทางขนาด 22 นิ้วเป็นทางเลือกที่ใช้งานได้จริงและราคาไม่แพงสำหรับการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ

กระเป๋าเดินทาง 24 นิ้ว

สำหรับกระเป๋าเดินทางที่มีขนาด 24 นิ้ว สายการบินหลักส่วนใหญ่ในประเทศไทยควรอนุญาตให้โหลดเป็นสัมภาระเช็คอินได้ แต่ทางที่ดีควรตรวจสอบกับสายการบินนั้นๆ ก่อนออกเดินทางเสมอ ตัวอย่างเช่น การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ส และแอร์เอเชีย อนุญาตให้กระเป๋าเดินทางขนาด 24 นิ้วเป็นสัมภาระเช็คอิน สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าน้ำหนักของกระเป๋าเดินทางไม่เกินขีดจำกัดของสายการบิน คนไทยมักใช้กระเป๋าเดินทางขนาด 24 นิ้วสำหรับการเดินทางไกลหรือหากต้องการนำของฝากกลับมา ข้อดีของการใช้กระเป๋าเดินทางขนาด 24 นิ้วคือทำให้มีพื้นที่เก็บสัมภาระมากขึ้นและมีความยืดหยุ่นในการนำสัมภาระติดตัวไปด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อเสียคืออาจเคลื่อนย้ายหรือขนส่งได้ยากขึ้น และบางสายการบินอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับสัมภาระขนาดใหญ่

กระเป๋าเดินทาง 25 นิ้ว

โดยทั่วไปแล้วกระเป๋าเดินทางที่มีขนาด 25 นิ้วจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นเครื่องได้สำหรับสายการบินส่วนใหญ่ในประเทศไทย รวมถึงการบินไทย บางกอกแอร์เวย์ส และแอร์เอเชีย อย่างไรก็ตาม คุณควรตรวจสอบกับสายการบินที่คุณเดินทางด้วยเสมอเพื่อยืนยันนโยบายเกี่ยวกับสัมภาระ

เมื่อเลือกกระเป๋าเดินทางขนาด 25 นิ้ว จะมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการเดินทางไกลและสามารถบรรจุสิ่งของได้สูงสุด 20 กก. นอกจากนี้ยังมีน้ำหนักเบาและพกพาสะดวก นอกจากนี้ยังสามารถใส่ในช่องเก็บของเหนือศีรษะได้อย่างง่ายดายและไม่ต้องเช็คอิน ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและความยุ่งยาก

อย่างไรก็ตาม ข้อเสียประการหนึ่งที่เป็นไปได้คือ อาจไม่เพียงพอสำหรับนักเดินทางที่มักจัดสัมภาระมากเกินไปหรือมีสิ่งของที่ต้องใช้พื้นที่มากขึ้น เช่น เสื้อผ้ากันหนาวขนาดใหญ่ นอกจากนี้ การแบกสัมภาระที่มีน้ำหนักมากเป็นระยะเวลานานอาจทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าได้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดของอย่างมีประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงการบรรทุกสัมภาระมากเกินไป

กระเป๋าเดินทาง 28 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางขนาด 28 นิ้ว โดยทั่วไปหมายถึงขนาดของกระเป๋าเดินทาง โดยมีขนาดความยาวประมาณ 28 นิ้ว ความกว้าง 18 นิ้ว และความสูง 10 นิ้ว น้ำหนักของกระเป๋าเดินทางอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ แต่โดยทั่วไปแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 8-10 ปอนด์

เมื่อเดินทางในประเทศไทย สิ่งสำคัญคือต้องทราบข้อจำกัดด้านสัมภาระของสายการบินของคุณ ตัวอย่างเช่น การบินไทยอนุญาตให้ผู้โดยสารนำสัมภาระเช็คอินหนึ่งชิ้นที่มีน้ำหนักไม่เกิน 32 กก. ในชั้นประหยัด ในขณะที่แอร์เอเชียจำกัดผู้โดยสารไว้ที่ 20 กก. สำหรับสัมภาระเช็คอิน

คนไทยมักคุ้นเคยกับสายการบินยอดนิยมของไทย เช่น การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ และแอร์เอเชีย ขอแนะนำให้ตรวจสอบกับสายการบินของคุณสำหรับน้ำหนักสัมภาระที่อนุญาตและข้อจำกัด เพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมหรือความไม่สะดวกที่ไม่คาดคิดในระหว่างการเดินทางของคุณ

กระเป๋าเดินทาง 30 นิ้ว

กระเป๋าเดินทางขนาด 30 นิ้ว โดยทั่วไปหมายถึงกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ที่มีขนาดความยาวประมาณ 30 นิ้ว ความกว้าง 20 นิ้ว และความสูง 12 นิ้ว น้ำหนักของกระเป๋าเดินทางอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ แต่โดยทั่วไปแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 10-12 ปอนด์

เมื่อเดินทางในประเทศไทย สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบข้อจำกัดด้านสัมภาระของสายการบินของคุณ ตัวอย่างเช่น การบินไทยอนุญาตให้ผู้โดยสารนำสัมภาระเช็คอินหนึ่งชิ้นที่มีน้ำหนักไม่เกิน 32 กก. ในชั้นประหยัด ในขณะที่แอร์เอเชียจำกัดผู้โดยสารไว้ที่ 20 กก. สำหรับสัมภาระเช็คอิน

คนไทยมักคุ้นเคยกับสายการบินยอดนิยมของไทย เช่น การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ และแอร์เอเชีย ขอแนะนำให้ตรวจสอบกับสายการบินของคุณสำหรับน้ำหนักสัมภาระที่อนุญาตและข้อจำกัด เพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมหรือความไม่สะดวกที่ไม่คาดคิดในระหว่างการเดินทางของคุณ

กระเป๋าเดินทางขนาด 30 นิ้วอาจมีพื้นที่มากขึ้นสำหรับการบรรจุสัมภาระ แต่สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าสัมภาระนั้นอยู่ในข้อจำกัดด้านน้ำหนักและขนาดที่สายการบินของคุณกำหนดเพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

วัสดุที่ใช้ในการทำกระเป๋า

วัสดุที่ใช้ในการผลิตกระเป๋าเดินทางประกอบไปด้วยหลายชนิด เช่น PP, PC, PC+ABS, อลูมิเนียม และ ABS โดยแต่ละวัสดุจะมีลักษณะและคุณสมบัติต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับการเดินทางแตกต่างกันไป ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมในไทยเช่น Samsonite, American Tourister, และ Victorinox มักใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงและราคาสูง เช่น PC หรือ PC+ABS ซึ่งมีความคงทนและความคุ้มกันที่ดีต่อการกระแทก ส่วน ABS และ PP เหมาะสำหรับกระเป๋าเดินทางที่เบาและสามารถพับเก็บได้ง่าย กระเป๋าทำจากอลูมิเนียมมักจะมีน้ำหนักเบาแต่ราคาสูง โดยรวมแล้ว วัสดุที่ใช้ในการผลิตกระเป๋าเดินทางสามารถมีผลต่อความคงทนที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางของผู้ใช้งานในช่วงอายุ 20-50 ปีได้ในหลายรูปแบบและมีราคาต่างกันตามคุณสมบัติที่มีอยู่ในแต่ละวัสดุ

การผลิตกระเป๋าเดินทางสามารถใช้วัสดุหลายชนิดได้ เช่น PP, PC, PC+ABS, ABS, อลูมิเนียม เป็นต้น แต่วัสดุที่ได้รับความนิยมสำหรับกระเป๋าเดินทางในปัจจุบันมี PP, PC, PC+ABS, ABS และอลูมิเนียม ซึ่งแต่ละวัสดุมีลักษณะและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป เช่น กระเป๋าที่ผลิตจาก PC มักมีความทนทานและกันกระแทกดี ในขณะที่กระเป๋าที่ผลิตจาก ABS เบาและมีความยืดหยุ่น นอกจากนี้ วัสดุ PC+ABS มีความทนทานและเบาเป็นพิเศษ ส่วนกระเป๋าที่ผลิตจากอลูมิเนียมมักมีน้ำหนักเบาและมีความทนทาน อย่างไรก็ตาม การเลือกวัสดุสำหรับกระเป๋าเดินทางควรพิจารณาความต้องการของตนเองและความต้องการของการเดินทางเพื่อให้เหมาะสมที่สุด

ABS ย่อมาจาก Acrylonitrile-Butadiene-Styrene ซึ่งเป็นเทอร์โมพลาสติกโพลิเมอร์ทั่วไปที่ใช้ในการผลิตกระเป๋าเดินทาง เป็นที่รู้จักในด้านความทนทาน ทนต่อแรงกระแทก ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ผลิตกระเป๋าเดินทาง วัสดุ ABS สามารถขึ้นรูปเป็นรูปทรงและขนาดต่าง ๆ ได้ และสามารถผลิตได้ในหลากหลายสีและพื้นผิว

วัสดุ PC Polycarbonate ซึ่งย่อมาจากโพลีคาร์บอเนตเป็นวัสดุที่นิยมใช้ในการผลิตกระเป๋าเดินทาง เนื่องจากมีความทนทาน ทนต่อแรงกระแทก และน้ำหนักเบา กระเป๋าเดินทางที่ทำจากวัสดุ PC สามารถทนต่อแรงกระแทกและการตกหล่นได้โดยไม่แตกหรือหัก ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับนักเดินทางบ่อยๆ นอกจากนี้ วัสดุ PC ยังเป็นที่ทราบกันดีว่าสามารถคงรูปร่างและสีไว้ได้แม้ใช้งานเป็นเวลานาน กระเป๋าเดินทางที่ทำจากวัสดุ PC อาจมีผิวมันหรือผิวด้าน และอาจมีสีและสไตล์ที่หลากหลายเพื่อให้เหมาะกับรสนิยมและความชอบที่แตกต่างกัน

วัสดุ PP ซึ่งย่อมาจากโพลีโพรพีลีนเป็นโพลิเมอร์เทอร์โมพลาสติกที่มีน้ำหนักเบาและทนทานซึ่งมักใช้ในการผลิตกระเป๋าเดินทาง กระเป๋าเดินทางที่ผลิตจากวัสดุ PP เป็นที่รู้จักในด้านความยืดหยุ่น ทนต่อแรงกระแทก และกันน้ำ ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักเดินทางที่ต้องการตัวเลือกที่เชื่อถือได้และน้ำหนักเบาสำหรับกระเป๋าเดินทาง วัสดุ PP สามารถขึ้นรูปเป็นรูปร่างและขนาดต่าง ๆ และทำความสะอาดและบำรุงรักษาได้ง่าย กระเป๋าเดินทางที่ทำจากวัสดุ PP อาจมีผิวด้านหรือมันเงา และอาจมีสีและสไตล์ที่หลากหลายเพื่อให้เหมาะกับความต้องการที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าวัสดุ PP อาจไม่ทนทานต่อแรงกระแทกเท่ากับวัสดุอื่น ๆ เช่น โพลีคาร์บอเนตหรืออะลูมิเนียม ดังนั้นจึงควรพิจารณาประเภทการเดินทางก่อนเลือกกระเป๋าเดินทางที่ทำจากวัสดุ PP

กระเป๋าเดินทางแบบนิ่ม

กระเป๋าเดินทางแบบ Soft Case สามารถทำจากวัสดุได้หลากหลาย เช่น ไนลอน โพลีเอสเตอร์ ผ้าใบ และหนัง วัสดุเหล่านี้โดยทั่วไปจะมีน้ำหนักเบา ยืดหยุ่น และทนทาน และสามารถผ่านกรรมวิธีเพื่อให้กันน้ำได้มากขึ้นหรือทนทานต่อรอยเปื้อนและรอยขีดข่วน กระเป๋าเดินทางแบบ Soft Case บางรุ่นอาจมีการบุนวมที่กั้นด้านนอกหรือด้านในเพื่อป้องกันทรัพย์สินของคุณระหว่างการขนส่ง

ข้อดี

– น้ำหนักเบาและยืดหยุ่น ทำให้ง่ายต่อการบรรจุและจัดเก็บในพื้นที่จำกัด
– มักมีราคาถูกกว่ากระเป๋าเดินทางแบบ Hard Case
– มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบและดีไซน์
– บางรุ่นอาจมีช่องที่ขยายได้สำหรับการจัดเก็บเพิ่มเติม

จุดด้อย

– ปกป้องน้อยกว่ากระเป๋าเดินทางแบบ Hard Case และอาจทนต่อแรงกระแทกได้ไม่เท่า
– อาจไม่กันน้ำได้เท่ากับกระเป๋าเดินทางแบบ Hard Case
– ทำความสะอาดได้ยากหากสกปรกหรือมีคราบสกปรก
– อาจมีความทนทานและอายุการใช้งานไม่เท่ากับกระเป๋าเดินทางแบบ Hard Case


กระเป๋าเดินทางแบบแข็ง

กระเป๋าเดินทางแบบ Hard Case มักทำจากวัสดุที่ทนทานและทนต่อแรงกระแทก เช่น โพลีคาร์บอเนต อะลูมิเนียม หรือพลาสติก ABS วัสดุเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาให้ทนทานต่อการเดินทางที่สมบุกสมบันและให้การปกป้องทรัพย์สินของคุณอย่างเหนือชั้น กระเป๋าเดินทางแบบ Hard Case อาจมีมุมเสริมความแข็งแรง ตัวล็อคที่ผ่านการรับรองจาก TSA หรือคุณสมบัติอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความทนทานและความปลอดภัย กระเป๋าเดินทางแบบฮาร์ดเคสบางรุ่นอาจมีผิวมันหรือผิวด้าน และอาจมีสีและดีไซน์ที่หลากหลายเพื่อให้เหมาะกับรสนิยมและความชอบที่แตกต่างกัน

ข้อดี

– ให้การปกป้องทรัพย์สินของคุณอย่างเหนือชั้น โดยเฉพาะสิ่งของที่เปราะบาง เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องแก้ว
– กันน้ำได้มากกว่ากระเป๋าเดินทางแบบ Soft Case
– ทำความสะอาดและบำรุงรักษาง่ายกว่ากระเป๋าเดินทางแบบ Soft Case
– ทนทานและใช้งานได้ยาวนานกว่ากระเป๋าเดินทางแบบ Soft Case

จุดด้อย

– หนักกว่าและคล่องตัวน้อยกว่ากระเป๋าเดินทางแบบ Soft Case ทำให้บรรจุและจัดเก็บในพื้นที่แคบได้ยากขึ้น
– ราคาแพงกว่ากระเป๋าเดินทางแบบ Soft Case
– อาจจะไม่เก๋หรืออินเทรนด์เท่ากระเป๋าเดินทางแบบ Soft Case
– บางรุ่นอาจไม่มีช่องขยายสำหรับจัดเก็บเพิ่มเติม

ท้ายที่สุด ทางเลือกระหว่างกระเป๋าเดินทางแบบ Soft Case และ Hard Case จะขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลและความต้องการในการเดินทางของคุณ กระเป๋าเดินทางแบบ Soft Case โดยทั่วไปจะมีน้ำหนักเบาและยืดหยุ่นกว่า ทำให้เหมาะสำหรับการเดินทางระยะสั้นหรือสำหรับผู้ที่ชอบจัดของเบา ในขณะที่กระเป๋าเดินทางแบบ Hard Case ให้การปกป้องและความทนทานที่เหนือกว่า ทำให้เหมาะสำหรับการเดินทางระยะยาวหรือสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บของ มีการป้องกันอย่างดีระหว่างการขนส่ง

กระเป๋าเดินทางที่ดีควรมีช่องใส่ของหลายช่องอะไรบ้าง

กระเป๋าเดินทางที่ดีควรมีช่องใส่ของหลายช่องเพื่อช่วยให้คุณจัดระเบียบสิ่งของและหยิบใช้ได้ง่ายในระหว่างการเดินทาง นี่คือช่องบางส่วนที่คุณควรพิจารณา

ช่องหลัก : ช่องนี้เป็นช่องที่ใหญ่ที่สุดและควรสามารถเก็บสิ่งของจำนวนมาก เช่น เสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องใช้ในห้องน้ำได้

ช่องซิป : กระเป๋าเดินทางหลายช่องมีช่องซิปเพิ่มเติม รวมถึงช่องตาข่าย ที่สามารถช่วยคุณจัดระเบียบสิ่งของและช่วยให้หยิบใช้ได้ง่าย

ช่องใส่รองเท้า : กระเป๋าเดินทางบางใบมาพร้อมกับช่องแยกที่ออกแบบมาเพื่อเก็บรองเท้า ซึ่งจะช่วยให้คุณแยกรองเท้าออกจากสิ่งของอื่น ๆ และป้องกันไม่ให้รองเท้าสกปรก

กระเป๋าด้านหน้า : สามารถใช้กระเป๋าด้านหน้าเพื่อจัดเก็บสิ่งของที่คุณต้องการหยิบใช้ได้อย่างรวดเร็ว เช่น หนังสือเดินทาง บอร์ดดิ้งพาส หรือโทรศัพท์

กระเป๋าด้านข้าง : กระเป๋าด้านข้างเหมาะสำหรับจัดเก็บสิ่งของที่คุณต้องใช้บ่อย ๆ เช่น ขวดน้ำ ร่ม หรือขนมขบเคี้ยว

ช่องใส่ของด้านใน : ช่องใส่ของด้านในสามารถช่วยให้คุณเก็บของชิ้นเล็ก ๆ ให้เป็นระเบียบได้ เช่น ที่ชาร์จ สายชาร์จ และหูฟัง

สายรัดกระชับ : สายรัดช่วยบีบอัดสิ่งของของคุณและรักษาความปลอดภัย ซึ่งจะช่วยให้คุณใส่ลงในกระเป๋าได้มากขึ้นและป้องกันไม่ให้สิ่งของของคุณเคลื่อนระหว่างการขนส่ง

ตัวล็อคที่ได้รับการรับรองจาก TSA : กระเป๋าเดินทางที่ดีควรมีตัวล็อคที่ได้รับการรับรองจาก TSA เพื่อให้สิ่งของของคุณปลอดภัยระหว่างการขนส่ง

ท้ายที่สุดแล้ว ช่องเก็บของที่คุณต้องการจะขึ้นอยู่กับความต้องการในการเดินทางและความชอบส่วนตัวของคุณ อย่างไรก็ตาม กระเป๋าเดินทางที่ออกแบบมาอย่างดีและมีหลายช่องจะช่วยให้คุณจัดระเบียบและทำให้การเดินทางของคุณสนุกยิ่งขึ้น

ซิป หูหิ้ว คันชักกระเป๋าของกระเป๋าเดินทางที่ดีควรเป็นอย่างไร

กระเป๋าเดินทางที่ดีควรมีลักษณะดังนี้

– ซิปคุณภาพดีและทนทาน
– หูหิ้วที่สะดวกในการถือและไม่กัดหรือเจ็บมือ
– คันชักกระเป๋าที่แข็งแรงและสามารถยกได้สะดวก
– มีช่องวางสำหรับเก็บของและสามารถเข้าถึงได้ง่าย
– วัสดุที่ทนทานและกันน้ำ
– หากเป็นกระเป๋าล้อควรมีล้อที่ทนทานและคันชักอัตโนมัติ
– หากต้องการรักษาความปลอดภัยของของในกระเป๋า ควรมีซิปที่สามารถล็อกได้
– โดยสรุปแล้ว กระเป๋าเดินทางที่ดีควรมีคุณสมบัติที่ทนทานและสะดวกในการใช้งาน เพื่อช่วยให้การเดินทางของคุณสะดวกและปลอดภัยขึ้น

ล้อของกระเป๋าเดินทางที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้

– ทนทานและแข็งแรงเพียงพอที่จะรองรับน้ำหนักของกระเป๋าและสิ่งของที่อยู่ในนั้น
– มีความเรียบหรูและสวยงามเพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
– มีระบบคันชักแบบอัตโนมัติเพื่อช่วยลดแรงสั่นขณะเดินทาง
– มีขนาดพอเหมาะเพื่อใช้งานในสนามบินและสามารถเก็บไว้ในช่องโดยสารได้ง่าย
– มีคุณภาพของล้อและระบบเหยียบเบรกที่ดีเพื่อให้การเดินทางสะดวกและปลอดภัย
– การเลือกล้อของกระเป๋าเดินทางควรพิจารณาด้วยความรอบคอบเพื่อให้ได้ล้อที่ดีและเหมาะสมกับการเดินทางของคุณ

ตัวล็อก TSA หมายถึงล็อกที่ได้รับการรับรองโดยหน่วยงานการขนส่งสหรัฐฯ (Transportation Security Administration) เพื่อใช้ในการล็อกกระเป๋าเดินทางเพื่อรักษาความปลอดภัยในการขนส่งทางอากาศ โดยตัวล็อกนี้สามารถเปิดได้ด้วยกุญแจพิเศษที่มีอยู่เฉพาะกับพนักงานการขนส่งสหรัฐฯเท่านั้น ซึ่งจะช่วยลดการเสียหายหรือปล้นกระเป๋าในขณะที่อยู่ในระหว่างการขนส่งทางอากาศ

กระเป๋าเดินทางที่ดีควรมีตัวล็อก TSA เพื่อรักษาความปลอดภัยของสิ่งของภายในกระเป๋า และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดการสูญหายหรือสูญเสียสิ่งของในการขนส่งทางอากาศ นอกจากนี้ยังสะดวกในการเปิด-ปิดกระเป๋าตอนตรวจความปลอดภัยของทางการบิน และไม่ต้องกังวลเรื่องการสะดุดตกของล็อกหรือกระเป๋าเมื่อผ่านการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่การขนส่งสนามบินหรือเจ้าหน้าที่การควบคุมความปลอดภัยที่สนามบิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดินทางไปยังสถานที่ที่มีประวัติการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือเป็นประเทศที่ต้องการความเข้าใจในการตรวจสอบความปลอดภัยที่มีเกณฑ์อย่างเข้มงวดยิ

ตัวล็อก TSA หรือ Transportation Security Administration คือ ระบบล็อกที่ออกแบบมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางการบินสามารถเปิดกระเป๋าของคุณได้โดยไม่ต้องทำลายลักษณะภายนอกของกระเป๋า เพื่อตรวจสอบว่ามีสิ่งของที่ผิดกฎหมายหรือไม่


กระเป๋าเดินทางที่ดีควรมีตัวล็อก TSA ที่ดีมีคุณสมบัติดังนี้

– มีระบบล็อกที่เข้ากับตัวล็อก TSA เพื่อให้เจ้าหน้าที่การบินสามารถเปิดกระเป๋าของคุณได้
– ทนทานต่อการใช้งานและการเปิดปิดแบบต่อเนื่อง
– มีความปลอดภัยสูงเพื่อป้องกันการขโมยสิ่งของขณะเดินทาง
– มีระบบล็อกที่ง่ายต่อการใช้งาน และไม่ยุ่งยาก
– มีคุณภาพที่ดีเพื่อให้ใช้งานได้นาน ๆ โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวล็อกบ่อย ๆ
– การเลือกตัวล็อก TSA ของกระเป๋าเดินทางควรพิจารณาคุณสมบัติต่าง ๆ ดังกล่าวเพื่อให้ได้ตัวล็อกที่ดีและเหมาะสมกับการใช้งานของคุณ

การรับประกันกระเป๋าเดินทางที่ดีควรเป็นอย่างไร

การรับประกันกระเป๋าเดินทางที่ดีควรมีการรับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายเป็นเวลานานพอสมควร เช่น 1-3 ปีหรือมากกว่านั้น โดยควรมีการครอบคลุมทั้งเรื่องของวัสดุที่ใช้ทำกระเป๋าและส่วนอื่นๆ เช่น ซิป ล้อ หูหิ้ว และอื่นๆ ที่อาจเกิดปัญหาได้ นอกจากนี้ การรับประกันควรมีเงื่อนไขที่ชัดเจนและครอบคลุมผลิตภัณฑ์ทุกด้าน รวมถึงการให้บริการซ่อมแซมกรณีเกิดปัญหาขณะใช้งานด้วย นอกจากนี้ การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทางจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและมีการรับประกันสินค้าที่ดีอย่างชัดเจนยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ได้กระเป๋าเดินทางที่มีคุณภาพและปลอดภัยในการเดินทางของเรา

แต่ละสายการบินอาจมีนโยบายที่ต่างกันไปเล็กน้อย โดยทั่วไปแล้วนั้นสายการบินในประเทศไทยจะมีนโยบายเกี่ยวกับกระเป๋าเดินทางดังนี้

น้ำหนักและขนาดของกระเป๋าเดินทาง : แต่ละสายการบินจะกำหนดน้ำหนักและขนาดของกระเป๋าเดินทางที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าเครื่องบินโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยส่วนใหญ่จะอนุญาตให้นำกระเป๋าเดินทางขนาดเล็ก-กลาง (ไม่เกิน 7-10 กิโลกรัม และไม่เกิน 56x36x23 ซม.) พร้อมกับกระเป๋ามือหรือสัมภาระเพิ่มเติมหนึ่งชิ้น (ไม่เกิน 3 กิโลกรัม) ต่อผู้โดยสาร แต่สายการบินบางสายอาจมีนโยบายที่เข้มงวดกว่านี้

ประเภทของกระเป๋าเดินทาง : สายการบินส่วนใหญ่อนุญาตให้นำกระเป๋าเดินทางแบบโซฟต์เช่น กระเป๋าผ้าหรือกระเป๋าไนลอน หรือแบบฮาร์ดแคสต์เช่น กระเป๋าโลหะหรือโพลีคาร์บอเนต แต่อาจมีนโยบายเฉพาะเจาะจงในบางสายการบิน

สายการบินของไทยมักมีนโยบายเกี่ยวกับกระเป๋าเดินทางอย่างคล้ายคลึงกัน โดยจะใช้น้ำหนักและขนาดของกระเป๋าเป็นเกณฑ์ในการอนุญาตให้นำเข้าช่องโหว่งอากาศ โดยทั่วไปแล้ว น้ำหนักของกระเป๋าเดินทางสามารถหารับได้เท่ากับ 7-10 กิโลกรัม โดยมีขนาดประมาณ 56 x 36 x 23 เซนติเมตร หรือเท่ากับ 115 เซนติเมตรต่อชิ้น นอกจากนี้ สายการบินบางส่วนยังมีนโยบายเกี่ยวกับการใช้งานตัวตลอดตั้งแต่การตรวจสอบถึงการโหลดและขึ้นเครื่องด้วย เช่น ต้องปิดฝากระเป๋าและใช้ระบบล็อก TSA ที่สามารถเปิดได้โดยเจ้าหน้าที่ในกรณีที่ต้องตรวจสอบ หรือไม่ใช้ไฟไหม้กระเป๋าเดินทางในการโหลดและขึ้นเครื่อง เป็นต้น

นโยบายเกี่ยวกับกระเป๋าเดินทางของแต่ละสายการบิน
ทั้งนี้นโยบายอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามระยเวลา ช่วง เทศกาล ต้องตรวจสอบอีกครั้งเพื่อความชัดเจน

การบินไทยมีนโยบายเกี่ยวกับกระเป๋าเดินทาง ดังนี้

การบินไทยมีนโยบายเฉพาะสำหรับน้ำหนักสัมภาระที่แตกต่างกันไปตามเส้นทางและชั้นโดยสาร นี่คือหลักเกณฑ์ทั่วไป

สัมภาระถือขึ้นเครื่อง

– ผู้โดยสาร Royal First Class และ Royal Silk Class ได้รับอนุญาตให้นำสัมภาระขึ้นเครื่องได้ 2 ชิ้น โดยมีน้ำหนักรวมกันสูงสุด 15 กก.
– ผู้โดยสารชั้นประหยัดอนุญาตให้นำสัมภาระขึ้นเครื่องได้ 1 ชิ้น น้ำหนักสูงสุด 7 กก.
– ขนาดสูงสุดของสัมภาระถือขึ้นเครื่องต้องไม่เกิน 56 x 45 x 25 ซม. (22 x 18 x 10 นิ้ว)

สัมภาระที่บรรจุใต้ท้องเครื่อง

– ผู้โดยสาร Royal First Class สามารถโหลดสัมภาระใต้ท้องเครื่องได้สูงสุด 50 กก.
– ผู้โดยสารชั้น Royal Silk Class อนุญาตให้นำสัมภาระเช็คอินได้สูงสุด 40 กก.
– ผู้โดยสารชั้นประหยัดอนุญาตให้นำสัมภาระเช็คอินได้สูงสุด 30 กก.
– สำหรับเที่ยวบินไปยังสหรัฐอเมริกาและแคนาดา น้ำหนักสูงสุดสำหรับสัมภาระเช็คอินแต่ละชิ้นคือ 32 กก. (70 ปอนด์)
– ขนาดสูงสุดของสัมภาระเช็คอินแต่ละชิ้นต้องไม่เกิน 158 ซม. (62 นิ้ว) ในขนาดโดยรวม (ความยาว + ความกว้าง + ความสูง)

สัมภาระส่วนเกิน

– ผู้โดยสารที่มีสัมภาระเกินกำหนดอาจถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสัมภาระส่วนเกิน
– ค่าธรรมเนียมสัมภาระส่วนเกินจะแตกต่างกันไปตามเส้นทางและน้ำหนักของสัมภาระ
– ขอแนะนำให้ตรวจสอบกับการบินไทยหรือตัวแทนท่องเที่ยวของคุณเกี่ยวกับนโยบายเกี่ยวกับสัมภาระเฉพาะสำหรับเที่ยวบินของคุณก่อนจัดสัมภาระสำหรับการเดินทางของคุณ

แอร์เอเชียมีนโยบายเกี่ยวกับกระเป๋าเดินทาง ดังนี้

นโยบายสัมภาระของแอร์เอเชียขึ้นอยู่กับชั้นโดยสารและเส้นทางการบินของคุณ นี่คือภาพรวมทั่วไป

สัมภาระถือขึ้นเครื่อง : ผู้โดยสารทุกคนได้รับอนุญาตให้นำกระเป๋าขึ้นเครื่องหนึ่งใบ โดยมีน้ำหนักสูงสุด 7 กก. และมีขนาด 56 ซม. x 36 ซม. x 23 ซม. นอกจากนี้ ผู้โดยสารสามารถนำกระเป๋าใบเล็กหรือกระเป๋าแล็ปท็อปที่มีขนาดสูงสุด 40 ซม. x 30 ซม. x 10 ซม. มาได้หนึ่งใบ

สัมภาระที่บรรจุใต้ท้องเครื่อง : ผู้โดยสารสามารถซื้อน้ำหนักสัมภาระที่บรรจุใต้ท้องเครื่องได้เมื่อจองเที่ยวบินหรือเมื่อใดก็ได้ก่อนเช็คอิน น้ำหนักและค่าธรรมเนียมแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเส้นทางและชั้นโดยสาร แต่โดยทั่วไปจะเริ่มต้นที่ 15 กก. และสูงสุด 40 กก. สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศและระหว่างประเทศ

อุปกรณ์กีฬา : ผู้โดยสารยังสามารถซื้อสิทธิ์สำหรับอุปกรณ์กีฬา เช่น ถุงกอล์ฟ จักรยาน และกระดานโต้คลื่น ค่าธรรมเนียมและน้ำหนักที่อนุญาตขึ้นอยู่กับเส้นทางและชั้นโดยสาร

สัมภาระส่วนเกิน : ผู้โดยสารที่เกินน้ำหนักสัมภาระที่บรรจุใต้ท้องเครื่องจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสัมภาระส่วนเกิน ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามเส้นทางและชั้นโดยสาร

โปรดทราบว่านโยบายเกี่ยวกับสัมภาระของแอร์เอเชียอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเส้นทางและชั้นโดยสาร ดังนั้นจึงควรตรวจสอบรายละเอียดเฉพาะสำหรับเที่ยวบินของคุณเสมอ นอกจากนี้ ผู้โดยสารควรจัดสัมภาระอย่างระมัดระวังและปฏิบัติตามกฎและข้อจำกัดทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาใด ๆ เมื่อทำการเช็คอิน

บางกอกแอร์เวย์มีนโยบายเกี่ยวกับกระเป๋าเดินทาง ดังนี้

บางกอกแอร์เวย์มีนโยบายสัมภาระดังต่อไปนี้

น้ำหนักสัมภาระใต้ท้องเครื่องที่อนุญาต

ชั้นประหยัด: 20 กก
บูติคคลาส : 30 กก
ชั้นบลูริบบอน : 40 กก

หนักสัมภาระถือขึ้นเครื่อง

ชั้นประหยัด : กระเป๋า 1 ใบน้ำหนักสูงสุด 5 กก. และขนาดสูงสุด 40 x 30 x 20 ซม.
คลาส Boutique และ Blue Ribbon : กระเป๋า 1 ใบน้ำหนักสูงสุด 7 กก. และขนาดสูงสุด 56 x 36 x 23 ซม.

ค่าธรรมเนียมสัมภาระส่วนเกิน

เที่ยวบินภายในประเทศ : 80 บาทต่อกิโลกรัมส่วนเกินสำหรับสัมภาระที่ชำระเงินล่วงหน้า และ 100 บาทต่อกิโลกรัมส่วนเกินสำหรับสัมภาระส่วนเกินที่สนามบิน
เที่ยวบินระหว่างประเทศ : ค่าธรรมเนียมสัมภาระส่วนเกินขึ้นอยู่กับปลายทางและคำนวณตามอัตราต่อกิโลกรัม

สัมภาระพิเศษ

อุปกรณ์กีฬา : สายการบินบางกอกแอร์เวย์สยอมรับอุปกรณ์กีฬาเป็นสัมภาระใต้ท้องเครื่อง โดยขึ้นอยู่กับค่าธรรมเนียมสัมภาระส่วนเกินที่เกี่ยวข้อง หากน้ำหนักเกินน้ำหนัก

สัมภาระที่อนุญาตฟรี

เครื่องดนตรี : สายการบินบางกอกแอร์เวย์สอนุญาตให้นำเครื่องดนตรีขึ้นเครื่องได้ตราบเท่าที่พอดีกับขนาดสัมภาระถือขึ้นเครื่อง และไม่หนักกว่าน้ำหนักสัมภาระถือขึ้นเครื่อง หากเกินขีดจำกัดเหล่านี้ จะต้องเช็คอินเป็นสัมภาระพิเศษ
สัตว์เลี้ยง : สายการบินบางกอกแอร์เวย์สอนุญาตให้ขนส่งสัตว์เลี้ยงเป็นสัมภาระใต้ท้องเครื่องได้ โดยมีค่าธรรมเนียมและข้อจำกัดที่เกี่ยวข้อง

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกระเป๋าเดินทางของเรา:

กระเป๋าเดินทาง - เลือกชมกระเป๋าเดินทางหลากหลายแบบ
กระเป๋าเดินทาง 20 นิ้ว - ขนาดกระเป๋าที่พกพาสะดวกและเหมาะสำหรับการเดินทางระยะสั้น
กระเป๋าโหลดใต้เครื่อง - ข้อมูลเกี่ยวกับการโหลดกระเป๋าใต้ท้องเครื่องบิน
ขนาดกระเป๋าเดินทาง - คู่มือเลือกขนาดกระเป๋าเดินทางที่เหมาะสม
Facebook
Twitter
LinkedIn
Pinterest